Custom Search

บทความที่ได้รับความนิยม

Translate

วันเสาร์ที่ 23 มิถุนายน พ.ศ. 2555

ข้าวเหหนียวมะม่วง-เคล็ดลับต่างๆ

ข้าวเหนียวมะม่วง
ส่วนผสม

* มะม่วงสุก 3 ลูก


* ข้าวเหนียว 1 กิโลกรัม

* หัวกะทิ 450 กรัม

* เกลือป่น 3/4 ช้อนชา

* น้ำตาลทราย 550 กรัม

* ใบเตย 3-5 ใบ

* ถั่วทอง 5 ช้อนโต๊ะ

* หัวกะทิ 2 ถ้วยตวง (สำหรับทำน้ำราด)

* เกลือป่น 1/4 ช้อนชา (สำหรับทำน้ำราด)

วิธีทำขนมไทย ทีละขั้นตอน
1.นำข้าวเหนียวไปล้างและแช่น้ำทิ้งไว้ 1 คืน จากนั้นนำไปสะเด็ดน้ำ

2.นำผ้าขาวบางรองไว้ในซึ้งหรือหม้อนึ่ง แล้วจึงนำข้างเหนียววางลงบนผ้าขาวบาง จากนั้นนำไปนึ่งจนข้าวเหนียวสุก

3.ในหม้อขนาดเล็ก ใส่น้ำตาล, เกลือป่น (3/4 ช้อนชา) และหัวกะทิ และนำไปตั้งบนไฟอ่อนๆ คนจนส่วนผสมทั้งหมดเข้ากันดี จากนั้นจึงใส่ใบเตยลงไป ทิ้งไว้สักพักจึงปิดไฟ

4.ในชามขนาดกลาง ใส่ข้าวเหนียวที่นึ่งไว้จนสุกดีแล้วลงไป จากนั้นจึงใส่น้ำกะทิที่เคี่ยวไว้ในขั้นตอนที่สามตามลงไป คนจนส่วนผสมเข้ากันทั่ว และทิ้งไว้อย่างน้อย 15 นาที

5.ในระหว่างที่รอ เตรียมทำน้ำกะทิราดหน้าโดย ผสมหัวกะทิ (2 ถ้วยตวง) และเกลือป่น (1/4 ช้อนชา) ลงในหม้อขนาดเล็ก และนำไปตั้งบนไฟอ่อนๆ คนจนเกลือละลายทั่ว จึงปิดไฟ

6.ปอกมะม่วงและจัดใส่จาน เวลาเสริฟ ตักข้าวเหนียวใส่จานจากนั้นโรยหน้าด้วยน้ำราดกะทิและถั่วทอง ควรเสริฟทันทีหลังจากปอกมะม่วงเสร็จใหม่ๆ

เคล็ดลับการเลือกมะม่วงสุก
การจะเลือกมะม่วงสุกให้หวานอร่อยนั้น การดูรูปลักษณ์ของมะม่วงเป็นสำคัญ แต่ไม่ใช่การเลือกมะม่วงที่เหลืองอร่ามสวยงามไม่มีรอยตกกระใด ๆ เลย แต่ตรงกันข้ามให้เลือกซื้อมะม่วงที่มีลอยตกกระค่อนข้างเยอะหน่อย เพราะนั่นกำลังบอกว่ามะม่วงสุกเต็มที่แล้ว ถ้าเราดูไม่ดีเราอาจจะได้มะม่วงที่บ่มแก๊ส หรือมะม่วงที่อ่อนเกินไป เมื่อสุกแล้วจะไม่หวาน และมะม่วงนั้นต้องไม่มีรอยช้ำ รอยบุบ เนื่องจากตกหล่น ถูกบีบ ถูกกระแทก และเพื่อความมั่นใจอีกระดับ ให้ใช้จมูกเรานี่และดมมะม่วงด้วย ถ้ามีกลิ่นหอมอ่อน ๆ แสดงว่ามะม่วงนั้นสุกแล้ว สุกแบบธรรมชาติ รับรองหวานอร่อยแน่ ๆ ฝากอีกนิดนึงคือ ลักษณะของมะม่วงนั้นต้องอูม อวบอิ่ม

ช่วงนี้หันหน้าไปทางไหนก็เจอแต่มะม่วง ทั้งมะม่วงดิบ มะม่วงสุก ซึ่งพ่อค้าแม่ค้าหลายรายก็ขาย “มะม่วงสุก” พ่วงกับข้าวเหนียวมูน จนหลายคนอดไม่ได้ที่จะซื้อ “ข้าวเหนียวมะม่วง” ติดมือกลับไปกินที่บ้าน แต่รู้หรือไม่ว่า “ข้าเหนียวมะม่วงมีประโยชน์อย่างไร

นพ.กฤษดา  ศิรามพุธ ผอ.ศูนย์เวชศาสตร์อายุรวัฒน์นานาชาติ กล่าวว่า องค์การอหารและเกษตรโลก หรือ เอฟเอโอแนะให้ประเทศกำลังพัฒนาที่มีปัญหาขาดวิตามินสำคัญอย่างวิตามินเอ วิตามินซีและธาตุเหล็กกิน มะม่วง เพื่อช่วยป้องกันโรคและแก้การขาดสารอาหาร


มะม่วง เหมาะกับ
1.ผู้มีปัญหาสิว  เพราะมะม่วงมีกรดดีอยู่หลายชนิดช่วยบำรุงผิว มีวิตามินเอ วิตามินอีและซีลีเนียมสำหรับผิวพรรณอยู่มาก และสารต้านอนุมูลอิสระ (แอนตี้ออกซิแดนท์) จะช่วยล้างอนุมูลอิสระที่จับผิว

2.ผู้เบื่ออาหาร  เพราะมะม่วงมีวิตามินหลายชนิดช่วยชดเชย อาทิ วิตามินเอ วิตามินอี ธาตุเหล็กและแอนตี้ออกซิแดนท์ กลุ่ม “ฟีโนลิก” และยังมีส่วนป้องกันมะเร็งเต้านม มะเร็งทางเดินอาหารและมะเร็งลำไส้ใหญ่

3.คนท้องเสีย  น้ำมะม่วงคั้นสดช่วยเป็นแหล่งน้ำตาล “ฟรุกโตส” ชั้นดีที่ช่วยเติมเต็มให้ในช่วงที่ขาดน้ำและเสียเกลือแร่

4.คนท้องผูก  มะม่วงช่วยคลายไส้ให้บีบตัวดีแถมมีเส้นใยมากช่วย “ดีท็อกซ์” ลำไส้ได้ ในคนธาตุแข็งขอให้รับประทานมะม่วงสุกที่ยิ่งเปรี้ยวได้ยิ่งดี  มะม่วงมีน้ำย่อยเป็นเอนไซม์ชื่อ “แมนีเฟอริน” “คาทีคอล ออกซิเดส” และ “แลกเทส” อยู่มาก

5.ติดเชื้อทางเดินปัสสาวะ  กรดเปรี้ยวในน้ำมะม่วงช่วยล้างตั้งแต่กรวนไตไปจนถึงท่อปัสสาวะได้สะอาดหมดจดดี

มะม่วงไม่เหมาะกับ
1.โรคไต  เพราะขับเกลือแร่ออกได้ไม่ดี  อาจมีเกลือแร่บางชนิดคั่งมาก

2.โรคหัวใจรุนแรง  เพราะมะม่วงมีแร่ธาตุเกี่ยวกับการเต้นของหัวใจอย่าง “โพแทสเซียม” อยู่ค่อนข้างสูง  ถ้ายังไม่เป็นโรคหัวใจแต่ต้องการป้องกันโรคหัวใจไว้ก่อนขอให้เลือกมะม่วงน้ำดอกไม้เพราะมีเบต้าแคโรทีนเป็นธาตุบำรุงหัวใจที่ดี

3.มะม่วงสุกที่กินกับข้าวเหนียวมะม่วง มักมีวิตามินแร่ธาตุไม่ต่างกันมาก  ถ้าอยากได้ชนิดที่เนื้อเยอะวิตามินเอเยอะ ให้เลือ น้ำดอกไม้ มีเบต้าแคโรทีนสูงกว่ามะเขือเทศราชินีและมะละกอสุกอีก ถ้าอยากได้แป้งน้อยกว่าให้เลือกมะม่วงสุก  ถ้าอยากได้น้ำตาลน้อยให้เลือกมะม่วงดิบ

4.ข้าวเหนียวมูน มีแคลอรี่สูงจากแป้งขาว จึงไม่เหมาะกับผู้ป่วยเบาหวาน  ถ้าจำเป็นต้องกินขอให้เน้นที่มะม่วงมากกว่าข้าวเหนียวเพราะเนื้อมะม่วงมีกากช่วยกันไม่ให้น้ำตาลซึมเข้าเลือดเร็วไป และไม่เหมาะกับผู้ที่มีภาวะไขมันในเลือดสูงและความดันโลหิตสูง เพราะข้าวเหนียวกับกะทิมีความหวานและมันสูง

เทคนิคการกิน “ข้าวเหนียวมะม่วง” ไม่เพิ่มพุง คือ
1.ให้หนักมะม่วงมากกว่าข้าวเหนียว

2.ใช้ข้าวเหนียวดำเพราะมีไฟเบอร์และแอนตี้ออกซิแดนท์ชั้นดี

3.มื้อใดกินข้าวเหนียวมะม่วงมื้อนั้นไม่ควรรับประทานข้าวแล้ว

4.ให้ถือข้าวเหนียวมะม่วงเป็นอาหารมื้อหนักมื้อหนึ่ง

5.รับประทานทีละชุดเล็ก เช่น มะม่วงหนึ่งลูกต่อข้าวเหนียวมูนขนาดเท่ามะม่วงครึ่งลูก

6.ขอให้รับประทานช่วงเที่ยงจะดีกว่าก่อนนอน

ประโยชน์ของข้าวเหนียวมะม่วง
1.กะทิในข้าวเหนียวมูนช่วยทำให้วิตามินเอและอีจากมะม่วงดูดซึมดีขึ้น

2.เนื้อมะม่วงสุกช่วยชะชอให้น้ำตาลจากข้าวเหนียวดูดซึมช้าลง

3.เป็นอาหารที่ให้พลังงานสูง-มะม่วงให้ไฟเบอร์สูง

4.ช่วยทำให้สดชื่นในผู้ที่เบื่ออาหารหรือรับประทานอาหารมื้อหลักไม่ค่อยได้

โทษของข้าวเหนียวมะม่วง
1.เพราะเป็นอาหารที่ให้พลังงานสูงจึงไม่เหมาะกับผู้มีน้ำหนักเกิน

2.แป้งข้าวเหนียวเปลี่ยนเป็นไขมัน “ไตรกลีเซอไรด์” ได้ถ้าหนักข้าวเหนียวเกินไปทำให้เกิด
“มันจุกตับ”ได้

3.กะทิกับข้าวเหนียวมีธาตุเค็มที่เร่งความดันสูง

4.มะม่วงสุกหวานกับข้าวเหนียวหวานมันกระตุ้นอาการอักเสบร้อนในได้

5.ถ้ากินร่วมกับอาหารมื้อหลักอาจทำให้นอนไม่หลับหรือรู้สึกไม่สดชื่นเพราะให้พลังงานสูงมาก
เรียบเรียงข้อมูลเพิ่มเติมโดย musa

รายการบล็อกของฉัน

  • อานุภาพทรงพลัง“เก๋ากี้” สมุนไพรจีน - ลดน้ำตาลในเลือด-ความดันโลหิต แถมชะลอแก่ ไม่ มีใครปฏิเสธได้ว่า สังคมที่เราอาศัยอยู่ในปัจจุบัน ถือเป็นสังคมที่มีความเจริญก้าวหน้าทางเทคโนโลยีนานาประเภท มน...
    5 สัปดาห์ที่ผ่านมา
  • หนอนปลอก คือตัวอะไร. - หนอนปลอก หนอนกินฝุ่นคือตัวอะไร... แมลงดังกล่าวมีชื่อเรียกว่า หนอนปลอก ซึ่งไม่มีพิษภัยร้ายแรงอย่างที่คิด เพียงแต่เปรียบเสมือนตัวชี้วัดปริมาณฝุ่นในบ้าน ว...
    2 ปีที่ผ่านมา
  • พีชผักสายพันธุ์แปลก - ค้นหา [image: Google] Custom Search Majesty Potato มันฝรั่งสีน้ำเงินม่วงชื่ออื่นๆ Mountain rose potatoes,Viking purplpotatoes สีม่วงนี้อุดมไปด้วยแอนโธไซยา...
    2 ปีที่ผ่านมา